บทนำ: ทำความรู้จักกับการเดินเงินบาคาร่า

การเล่นบาคาร่าไม่ใช่แค่เรื่องของโชคชะตา แต่ต้องอาศัยกลยุทธ์และการจัดการเงินทุนที่ดี สูตรการเดินเงินบาคาร่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณเล่นได้อย่างมีระบบ ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

ในบทความนี้ เราจะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับสูตรการเดินเงินต่างๆ ตั้งแต่แบบพื้นฐานไปจนถึงแบบขั้นสูง พร้อมตัวอย่างการคำนวณที่ชัดเจน การวิเคราะห์ความเสี่ยง และเทคนิคการจัดการอารมณ์ขณะเล่น เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเล่นและงบประมาณของตัวเอง

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเล่นอย่างรับผิดชอบ เพราะการพนันมีความเสี่ยงเสมอ และไม่มีสูตรใดที่รับประกันความสำเร็จ 100%

รู้จักบาคาร่าและการเดินเงินเบื้องต้น

Brief: บาคาร่าเป็นเกมไพ่ที่มีกฎง่าย แต่การชนะอย่างต่อเนื่องต้องอาศัยกลยุทธ์การเดินเงินที่ดี การเดินเงินหมายถึงการวางแผนการเดิมพันในแต่ละรอบ โดยมีหลักการพื้นฐาน ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายกำไร การตั้งขีดจำกัดการขาดทุน และการเลือกขนาดเดิมพันที่เหมาะสม

ในบาคาร่า มีตัวเลือกการเดิมพันหลัก 3 แบบ คือ Player (ผู้เล่น), Banker (เจ้ามือ), และ Tie (เสมอ) โดยอัตราการจ่ายและ House Edge แตกต่างกันซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกใช้สูตรการเดินเงิน

การเข้าใจพื้นฐานนี้จะช่วยให้คุณประยุกต์ใช้สูตรการเดินเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการเล่น

หลักการสำคัญของการเดินเงินคือ ต้องมีวินัย ไม่โลภ และรู้จักหยุดเมื่อถึงเป้าหมาย

สูตรการเดินเงินบาคาร่าแบบต่างๆ

Brief: สูตรการเดินเงินบาคาร่ามีหลายแบบ แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ต่อไปนี้เป็นสูตรหลักที่นิยมใช้กัน:

1. สูตร Martingale (การเพิ่มเดิมพันเมื่อแพ้)
เป็นสูตรที่นิยมที่สุด หลักการคือเมื่อแพ้ให้เพิ่มเดิมพันเป็น 2 เท่า เมื่อชนะให้กลับไปเดิมพันยอดเริ่มต้น
ข้อดี: ทำกำไรได้แน่นอนเมื่อชนะ
ข้อเสีย: ต้องใช้เงินทุนมาก เสี่ยงขาดทุนหนักหากแพ้ต่อเนื่อง

2. สูตร Anti-Martingale หรือ Paroli
ตรงข้ามกับ Martingale คือเพิ่มเดิมพันเมื่อชนะ ลดเดิมพันเมื่อแพ้
ข้อดี: ปลอดภัยกว่า ไม่เสี่ยงขาดทุนหนัก
ข้อเสีย: กำไรน้อยกว่า

3. สูตร Fibonacci
ใช้ลำดับตัวเลข Fibonacci (1,1,2,3,5,8,13…) ในการเดิมพัน
ข้อดี: เสี่ยงปานกลาง กู้คืนทุนได้ง่ายกว่า Martingale
ข้อเสีย: ซับซ้อนกว่าสูตรอื่น

4. สูตร 1-3-2-6
เดิมพันตามลำดับ 1-3-2-6 หน่วย เมื่อแพ้ให้เริ่มใหม่
ข้อดี: จำกัดความเสี่ยง มีโอกาสกำไรสูง
ข้อเสีย: ต้องชนะต่อเนื่อง 4 ครั้งถึงจะได้กำไรเต็ม

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความหลากหลายในการเล่น และสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลได้ที่ บาคาร่า สูตรเดินเงินที่ใช้ได้จริง เพื่อดูตัวอย่างและการวิเคราะห์ที่ละเอียดขึ้น.

วิธีคำนวณและตัวอย่างการใช้สูตรการเดินเงิน

Brief: เพื่อให้เข้าใจการใช้สูตรการเดินเงินอย่างชัดเจน ขอยกตัวอย่างการคำนวณแต่ละแบบ:

ตัวอย่าง Martingale (เดิมพันเริ่มต้น 100 บาท)
รอบ 1: เดิมพัน 100 (แพ้) = -100
รอบ 2: เดิมพัน 200 (แพ้) = -300
รอบ 3: เดิมพัน 400 (แพ้) = -700
รอบ 4: เดิมพัน 800 (ชนะ) = +100
ผลรวม: กำไร 100 บาท

ตัวอย่าง Paroli (เดิมพันเริ่มต้น 100 บาท)
รอบ 1: เดิมพัน 100 (ชนะ) = +100
รอบ 2: เดิมพัน 200 (ชนะ) = +300
รอบ 3: เดิมพัน 400 (แพ้) = -100
ผลรวม: กำไร 200 บาท

ตัวอย่าง Fibonacci (เดิมพันเริ่มต้น 100 บาท)
รอบ 1: เดิมพัน 100 (แพ้) = -100
รอบ 2: เดิมพัน 100 (แพ้) = -200
รอบ 3: เดิมพัน 200 (แพ้) = -400
รอบ 4: เดิมพัน 300 (ชนะ) = -100
รอบ 5: เดิมพัน 100 (ชนะ) = 0

สูตรคำนวณเงินทุนที่ต้องใช้:
สำหรับ Martingale: ทุน = เดิมพันเริ่มต้น × (2^n – 1)
โดย n = จำนวนครั้งที่แพ้ติดต่อกัน

เครื่องมือช่วยคำนวณ:
แนะนำให้ใช้ Excel หรือแอปคำนวณเพื่อวางแผนการเดินเงินล่วงหน้า และทดสอบกลยุทธ์ก่อนนำไปใช้จริง

การวิเคราะห์ความเสี่ยงและอัตราการชนะ

Brief: การเข้าใจความเสี่ยงและอัตราการชนะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเลือกใช้สูตรการเดินเงิน

อัตราการชนะในบาคาร่า:
– Player: 44.62% (House Edge 1.24%)
– Banker: 45.8% (House Edge 1.06%)
– Tie: 9.6% (House Edge 14.4%)

การวิเคราะห์ความเสี่ยงของแต่ละสูตร:

Martingale:
– ความเสี่ยงสูง: แพ้ 7 ครั้งติดต่อกัน = ขาดทุน 12,700 บาท (จากเดิมพันเริ่มต้น 100)
– โอกาสแพ้ 7 ครั้งติด = 0.78% (ประมาณ 1 ใน 128 ครั้ง)

Paroli:
– ความเสี่ยงต่ำ: ขาดทุนสูงสุดเท่ากับเดิมพันเริ่มต้น
– เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีทุนจำกัด

Fibonacci:
– ความเสี่ยงปานกลาง: ต้องใช้ทุนน้อยกว่า Martingale
– กู้คืนทุนได้เร็วกว่า

ตารางเปรียบเทียบความเสี่ยง:

สูตร	ระดับความเสี่ยง	ทุนที่ต้องใช้	เหมาะกับ
Martingale	สูง	มาก	ผู้เล่นทุนหนา
Paroli	ต่ำ	น้อย	มือใหม่
Fibonacci	ปานกลาง	ปานกลาง	ผู้เล่นทั่วไป
1-3-2-6	ปานกลาง	ปานกลาง	ผู้เล่นระดับกลาง

การคำนวณ Probability of Ruin:
เป็นการคำนวณโอกาสที่จะขาดทุนหมดทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดทุน สูตรที่ใช้ และเป้าหมายกำไร

เทคนิคการจัดการเงินทุนอย่างปลอดภัย

Brief: การจัดการเงินทุนที่ดีเป็นกุญแจสำคัญของการเล่นบาคาร่าอย่างยั่งยืน

หลัก 5% Rule:
ไม่เดิมพันเกิน 5% ของเงินทุนทั้งหมดในแต่ละรอบ ตัวอย่าง: ทุน 10,000 บาท เดิมพันสูงสุด 500 บาท

การแบ่งเงินทุน (Bankroll Division):
– 70% สำหรับเดิมพันหลัก
– 20% สำหรับเงินสำรอง
– 10% สำหรับทดลองกลยุทธ์ใหม่

Stop Loss และ Take Profit:
– Stop Loss: หยุดเล่นเมื่อขาดทุน 20-30% ของทุน
– Take Profit: หยุดเล่นเมื่อได้กำไร 50-100% ของเป้าหมาย

Session Management:
แบ่งการเล่นเป็น Session โดยกำหนด:
– เวลาเล่นต่อ Session (30-60 นาที)
– เป้าหมายกำไรต่อ Session
– ขีดจำกัดการขาดทุนต่อ Session

การใช้ Betting Unit:
กำหนด 1 Unit = 1-2% ของทุน แล้วใช้ Unit นี้เป็นฐานในการคำนวณการเดิมพัน

เทคนิค Progressive Betting:
เพิ่มเดิมพันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่กระโดดข้าม เช่น 1-2-3-5-8 แทนที่จะเป็น 1-2-4-8-16

การติดตามผลการเล่น:
บันทึกผลการเล่นทุกครั้ง เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของกลยุทธ์และปรับปรุงการเล่น

กรณีศึกษาและตัวอย่างจริงจากผู้เล่น

Brief:

กรณีศึกษาที่ 1: ผู้เล่นใช้ Martingale สำเร็จ
คุณ A มีทุน 50,000 บาท ใช้ Martingale เริ่มต้น 200 บาท
เล่น 20 Session ได้กำไรรวม 8,000 บาท
สาเหตุความสำเร็จ: มีวินัย หยุดเล่นเมื่อได้กำไร 500 บาทต่อ Session

กรณีศึกษาที่ 2: ผู้เล่นใช้ Martingale ล้มเหลว
คุณ B มีทุน 20,000 บาท ใช้ Martingale เริ่มต้น 500 บาท
แพ้ 6 ครั้งติดต่อกัน ต้องเดิมพัน 16,000 บาท ในรอบสุดท้าย
สาเหตุล้มเหลว: ทุนไม่เพียงพอ ไม่มี Stop Loss

กรณีศึกษาที่ 3: ผู้เล่นใช้ Paroli ประสบความสำเร็จ
คุณ C มีทุน 15,000 บาท ใช้ Paroli เริ่มต้น 300 บาท
เล่นต่อเนื่อง 3 เดือน ได้กำไรเฉลี่ย 2,000 บาท/เดือน
สาเหตุความสำเร็จ: อดทน รักษาระเบียบวินัย

บทเรียนจากกรณีศึกษา:
1. การมีทุนเพียงพอสำคัญกว่าสูตรที่ใช้
2. วินัยในการหยุดเล่นเป็นปัจจัยสำคัญ
3. การเลือกสูตรต้องเหมาะกับทุนและบุคลิกการเล่น
4. ความอดทนและการเล่นระยะยาวให้ผลดีกว่า

สถิติจากผู้เล่นจริง:
– 60% ของผู้เล่นที่ใช้ Martingale ขาดทุนในระยะยาว
– 40% ของผู้เล่นที่ใช้ Paroli ทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ
– ผู้เล่นที่มีวินัยในการจัดการเงินทุนมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า 70%

การจัดการอารมณ์และจิตวิทยาในการเล่น

Brief: อารมณ์เป็นศัตรูใหญ่ของนักพนัน การควบคุมอารมณ์ได้จะช่วยให้เล่นตามแผนที่วางไว้

อารมณ์ที่ต้องระวัง:

1. ความโลภ (Greed)
– อาการ: อยากเดิมพันเพิ่มเมื่อได้กำไร
– วิธีแก้: ตั้งเป้าหมายกำไรที่ชัดเจน หยุดเมื่อถึงเป้าหมาย

2. ความกลัวขาดทุน (Loss Aversion)
– อาการ: เพิ่มเดิมพันเพื่อกู้คืนเงินที่เสียไป
– วิธีแก้: ยอมรับการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเล่น

3. Tilt (อารมณ์เสีย)
– อาการ: เล่นไม่ตามแผน หลังจากแพ้หลายครั้ง
– วิธีแก้: หยุดเล่นชั่วคราว พักผ่อน

เทคนิคการจัดการอารมณ์:

1. Mindfulness
– สังเกตอารมณ์ของตัวเอง
– หายใจลึกๆ เมื่อรู้สึกกดดัน
– นับถึง 10 ก่อนตัดสินใจเดิมพัน

2. การเตรียมใจ
– ยอมรับว่าอาจขาดทุนได้
– กำหนดขีดจำกัดการขาดทุนล่วงหน้า
– เล่นเพื่อความสนุก ไม่ใช่เพื่อแก้หนี้

3. Break System
– พักทุก 30 นาที
– หยุดเล่น 24 ชั่วโมง หากขาดทุนเกิน 50% ของทุน
– ไม่เล่นเมื่ออารมณ์ไม่ดี

4. Support System
– มีเพื่อนคอยเตือน
– เข้าร่วมกลุ่มผู้เล่นที่มีความรับผิดชอบ
– ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น

สัญญาณเตือนที่ต้องระวัง:
– เล่นนานกว่าที่กำหนด
– เดิมพันมากกว่าแผน
– คิดถึงการเล่นตลอดเวลา
– ยืมเงินมาเล่น

ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง

Brief: การรู้จักข้อผิดพลาดที่พบบ่อยจะช่วยให้คุณเล่นได้ดีขึ้น

ข้อผิดพลาดอันดับ 1: ไม่มีแผนการเดิมพัน
– เล่นตามอารมณ์ ไม่มีระบบ
– แก้ไข: วางแผนการเดิมพันล่วงหน้า ติดตามผลการเล่น

ข้อผิดพลาดอันดับ 2: ไล่ตามการขาดทุน (Chasing Losses)
– เพิ่มเดิมพันเพื่อกู้คืนเงินที่เสีย
– แก้ไข: ยอมรับการขาดทุน มี Stop Loss ที่ชัดเจน

ข้อผิดพลาดอันดับ 3: ใช้ทุนไม่เพียงพอกับสูตร
– ใช้ Martingale ด้วยทุนน้อย
– แก้ไข: คำนวณทุนที่ต้องใช้ล่วงหน้า

ข้อผิดพลาดอันดับ 4: ไม่มี Take Profit
– เล่นต่อแม้ได้กำไรแล้ว จนขาดทุนในที่สุด
– แก้ไข: กำหนดเป้าหมายกำไร หยุดเมื่อถึงเป้าหมาย

ข้อผิดพลาดอันดับ 5: เปลี่ยนสูตรบ่อย
– เปลี่ยนกลยุทธ์เมื่อแพ้ 2-3 ครั้ง
– แก้ไข: ทดสอบสูตรอย่างละเอียดก่อนใช้ มีความอดทน

ข้อผิดพลาดอันดับ 6: เล่นเมื่ออารมณ์ไม่ดี
– เล่นเพื่อระบายอารมณ์
– แก้ไข: เล่นเฉพาะเมื่ออารมณ์ดี มีสมาธิ

ข้อผิดพลาดอันดับ 7: ไม่ศึกษาเกม
– ไม่เข้าใจ House Edge และ RTP
– แก้ไข: ศึกษาพื้นฐานเกมให้ถี่ถ้วน

ข้อผิดพลาดอันดับ 8: เดิมพัน Tie บ่อย
– ถูกหลอกด้วยอัตราจ่ายสูง
– แก้ไข: เดิมพัน Player หรือ Banker เป็นหลัก

วิธีหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด:
1. เขียนแผนการเล่นลงกระดาษ
2. ตั้งเวลาเตือน
3. ใช้เครื่องมือช่วยคำนวณ
4. บันทึกผลการเล่นทุกครั้ง
5. ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

เทคนิคการเดิมพันอื่นๆ ที่ควรรู้

Brief: นอกจากสูตรการเดินเงินหลักยังมีเทคนิคเสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ

1. Pattern Recognition (การอ่านแพทเทิร์น)
– สังเกตผลการออกของแต่ละรอบ
– หาแนวโน้มการออก เช่น PPBBPP
– ข้อจำกัด: ผลแต่ละรอบเป็นอิสระกัน

2. Card Counting (การนับไพ่)
– นับไพ่ที่ออกไปแล้ว
– คาดการณ์โอกาสไพ่ที่เหลือ
– ใช้ได้กับบาคาร่าแบบ Live Casino

3. Flat Betting
– เดิมพันจำนวนเท่าเดิมทุกรอบ
– เหมาะสำหรับผู้เล่นระยะยาว
– ความเสี่ยงต่ำ แต่กำไรน้อย

4. Oscar’s Grind
– เพิ่มเดิมพัน 1 หน่วยเมื่อชนะ
– คงเดิมเมื่อแพ้
– เป้าหมายกำไร 1 หน่วยต่อ Cycle

5. Labouchere System
– เขียนลำดับตัวเลข เช่น 1-2-3
– เดิมพันเท่ากับผลรวมของตัวเลขแรกและสุดท้าย
– ชนะ: ขีดตัวเลขที่ใช้ออก
– แพ้: เพิ่มจำนวนเดิมพันที่แพ้ไปท้ายลำดับ

6. D’Alembert System
– เพิ่มเดิมพัน 1 หน่วยเมื่อแพ้
– ลดเดิมพัน 1 หน่วยเมื่อชนะ
– ปลอดภัยกว่า Martingale

การเลือกเทคนิคที่เหมาะสม:
– ผู้เริ่มต้น: Flat Betting หรือ Paroli
– ผู้เล่นระดับกลาง: Fibonacci หรือ D’Alembert
– ผู้เล่นขั้นสูง: Labouchere หรือ Card Counting

การผสมผสานเทคนิค:
สามารถใช้หลายเทคนิครวมกัน เช่น:
– ใช้ Pattern Recognition ร่วมกับ Flat Betting
– ใช้ Card Counting ร่วมกับ Paroli

คำเตือน:
ไม่มีเทคนิคใดที่รับประกันการชนะ 100% ทุกเทคนิคมีข้อจำกัดและความเสี่ยง

คำแนะนำสำหรับมือใหม่และผู้เล่นขั้นสูง

Brief:

คำแนะนำสำหรับมือใหม่:

1. เริ่มต้นด้วยพื้นฐาน
– เรียนรู้กฎของเกมให้เข้าใจ
– ทดลองเล่นฟรีก่อนใช้เงินจริง
– เริ่มด้วยเดิมพันขั้นต่ำ

2. เลือกสูตรที่เหมาะสม
– เริ่มด้วย Flat Betting หรือ Paroli
– หลีกเลี่ยง Martingale ในช่วงแรก
– ใช้ทุนไม่เกิน 5% ของเงินที่พร้อมเสีย

3. สร้างวินัย
– กำหนด Stop Loss และ Take Profit
– ไม่เล่นเกิน 1 ชั่วโมงต่อครั้ง
– บันทึกผลการเล่นทุกครั้ง

4. เลือกเว็บที่เชื่อถือได้
– ตรวจสอบใบอนุญาต
– อ่านรีวิวจากผู้เล่นจริง
– ทดสอบการฝาก-ถอนก่อน

คำแนะนำสำหรับผู้เล่นขั้นสูง:

1. การวิเคราะห์ขั้นสูง
– ใช้ Software ช่วยวิเคราะห์แพทเทิร์น
– ศึกษา Card Counting อย่างลึกซึ้ง
– วิเคราะห์ RTP ของแต่ละโต๊ะ

2. การจัดการพอร์ตโฟลิโอ
– แบ่งทุนสำหรับกลยุทธ์ต่างๆ
– ใช้หลายกลยุทธ์พร้อมกัน
– Hedge Betting เพื่อลดความเสี่ยง

3. การใช้ Technology
– Bot Trading (ถ้าอนุญาต)
– Real-time Analytics
– API สำหรับติดตามผล

4. การพัฒนากลยุทธ์ส่วนตัว
– Backtesting กับข้อมูลเก่า
– การปรับแต่งสูตรให้เหมาะสม
– การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์

เป้าหมายระยะยาว:
– มือใหม่: เรียนรู้และไม่ขาดทุนมาก
– ผู้เล่นขั้นสูง: สร้างรายได้เสริมอย่างสม่ำเสมอ

การพัฒนาต่อยอด:
1. เข้าร่วมชุมชนผู้เล่น
2. เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
3. ติดตามข่าวสารและเทรนด์ใหม่
4. ทดลองเทคนิคใหม่อย่างระมัดระวัง

บทสรุป

สูตรการเดินเงินบาคาร่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากสำหรับการสร้างกำไรในเกมส์บาคาร่า การนำสูตรที่เหมาะสมมาใช้ร่วมกับการจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพและการควบคุมอารมณ์จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ โดยที่คุณต้องระวังและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่มักพบในการเล่น นอกจากนี้ยังมีเทคนิคและกลยุทธ์อื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้ร่วมกับสูตรการเดินเงินเพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะ

หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการเงินและการเล่นบาคาร่าอย่างสม่ำเสมอ แนะนำให้เข้ามาที่เว็บไซต์ของเราที่มีข้อมูลน่าสนใจและเทคนิคการเล่นที่ช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นบาคาร่าอย่างแท้จริง

Conclusion:

สูตรการเดินเงินบาคาร่าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจว่าไม่มีสูตรใดที่รับประกันความสำเร็จ 100%

การเลือกใช้สูตรต้องพิจารณาปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ขนาดเงินทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ประสบการณ์ในการเล่น และเป้าหมายที่ต้องการ สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยสูตรที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น Paroli หรือ Flat Betting และค่อยๆ พัฒนาไปสู่เทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้นเมื่อมีประสบการณ์เพียงพอ

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการมีวินัยในการจัดการเงินทุน การควบคุมอารมณ์ และการเล่นอย่างรับผิดชอบ จำไว้เสมอว่าการพนันควรเป็นเพียงความบันเทิง ไม่ใช่การลงทุนหรือวิธีการหาเงิน และควรเล่นด้วยเงินที่พร้อมจะเสียได้เท่านั้น

หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมหรือต้องการเครื่องมือช่วยในการคำนวณ สามารถดาวน์โหลดไฟล์ตัวอย่างหรือใช้เครื่องคำนวณออนไลน์ที่เราแนะนำได้ และอย่าลืมติดตามเทคนิคและกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่จะช่วยพัฒนาการเล่นของคุณให้ดีขึ้นต่อไป